เอนไซม์
(Enzyme)เปรียบเสมือนกับสิ่งที่เป็นตัวจุดประกายของชีวิตในร่างกาย หมายความ
ว่าถ้าหากร่างกายของเราไม่มีเอนไซม์
ร่างกายก็จะไม่สามารถย่อยอาหารและดูดซึมสารอาหารเพื่อไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ
ของร่างกายได้ และในที่สุดก็ตายลง
ดังนั้น เอนไซม์จึงเป็นตัวช่วยเร่งปฏิกิริยาเคมี
หรือตัวคะตะลิสต์ (Catalyst) ที่จำเพาะ ซึ่งจะทำง่านร่วมกับโคเอนไซม์ (Coenzymes)โดยโคเอนไซม์ในที่นี้ก็คือพวกวิตามินและแร่ธาตุจำเป็นต่อร่างกาย
และวิตามินและแร่ธาตุนั้นจะไม่สามารถกระตุ้นให้ทำงานได้หากไม่ได้ทำงานร่วมกับเอนไซม์
ดร.เอ็ดเวิร์ด เฮาเวลล์
ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการเป็นบุคคลแรกที่ได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องเอนไซม์
ในช่วงปี พ.ศ.2476 – 2486 และเขาได้กล่าวว่า
“ร่างกายของเรามีแหล่งพลังงานจากเอนไซม์มาตั้งแต่แรกเกิด
เปรียบเสมือนกับแบตเตอรี่ก้อนใหม่ ที่เมื่อใช้ไปในระยะหนึ่งแล้ว
แบตเตอร์รี่ดังกล่าวก็จะหมดอายุหรือหมดพลังไป ร่างกายของเราก็เช่นกัน
เมื่อใช้แหล่งพลังงานเหล่านั้นจากเอนไซม์ไปมากเท่าไหร่
ชีวิตของเราก็สั้นมากขึ้นเท่านั้น”
และเขายังพบว่าคุณภาพชีวิต
และระดับพลังงานในร่างกายของเรานั้นจะขึ้นอยู่กับเอนไซม์ทั้งหลาย
หากร่างกายมีเอนไซม์อยู่น้อยก็จะทำให้เรามีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพด้วย
โดยมีผู้ประมาณการเอาไว้ว่า 80%
ของโรคในร่างกายมีสาเหตุมาจากร่างกายมีเอนไซม์ในปริมาณที่น้อยมาก
เอนไซม์มีความสำคัญและจำเป็นสำหรับสิ่งมีชีวิต
เพราะว่าปฏิกิริยาเคมีส่วนใหญ่ในเซลล์จะเกิดช้ามาก
หรือถ้าไม่มีเอนไซม์อาจทำให้ผลิตภัณฑ์จากปฏิกิริยากลายเป็นสารเคมีชนิดอื่น
ซึ่งถ้าขาดเอนไซม์ระบบการทำงานของเซลล์จะผิดปกติ (malfunction) เช่น
• การผ่าเหล่า (mutation)
• การผลิตมากเกินไป (overproduction)
• ผลิตน้อยเกินไป (underproduction)
• การขาดหายไป (deletion)
ดังนั้นการขาดเอนไซม์ที่สำคัญอาจทำให้เกิดโรคร้ายแรงได้
การผ่าเหล่าอาจจะเกิดขึ้นในโครงสร้างบางส่วนของเอนไซม์
หรืออาจเป็นบางส่วนของโปรตีน
เเอนไซม์ หรือ enzyme
คือ กลุ่มของโปรตีนที่มีหน้าที่พิเศษแตกต่างจากโปรตีนทั่วไป คือ
มีความสามารถในการเร่งปฏิกิริยาทางชีวเคมีที่เกิดขึ้นภายในเซลล์ของสิ่งมีชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง
เพื่อใช้ในการสังเคราะห์องค์ประกอบภายในเซลล์ ระบบการย่อยอาหาร ฯลฯ
เอนไซม์เราสามารถจำแนกออกได้เป็น 3 ชนิด คือ
1. เอนไซม์จากอาหาร
(Food enzyme – ฟูดเอนไซม์) คือ
เอนไซม์ที่พบได้ในอาหารสด อาหารดิบทุกชนิด ถ้ามาจากพืชเราจะเรียกว่า เอนไซม์จากพืช
(Plant Enzyme) แต่ถ้ามาจากสัตว์ เราจะเรียกว่า
เอนไซม์จากสัตว์ (Animal Enzyme) อาหารที่ผ่านความร้อนจะทำลายเอนไซม์ในอาหารได้โดยง่าย
ซึ่งเอนไซม์ชนิดนี้จะช่วยในการย่อยอาหารที่เรารับประทานเข้าไป
2. เอนไซม์ย่อยอาหาร
(Digestive enzyme – ไดเจสทีฟเอนไซม์) คือ เอนไซม์ที่ผลิตขึ้นโดยร่างกาย
ส่วนใหญ่จะผลิตมาจากตับอ่อน
เพื่อใช้ในการย่อยอาหารและดูดซึมสารอาหารที่เรารับประทานเข้าไป
ทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่มีคุณค่า
กระบวนการผลิตเอนไซม์ย่อยอาหาร
ส่วนเอนไซม์ย่อยอาหารจะผลิตจากภายในร่างกายโดย ตับอ่อนจะรับวัตถุดิบของการผลิตเอนไซม์เพื่อการย่อยอาหารออกมาอยู่ตลอดเวลา จึงเป็นภาระหน้าที่ที่หนักของตับอ่อน
บางครั้งตับอ่อนอาจจะบวมเพราะพยายามผลิตเอนไซม์เพื่อให้เพียงที่จะย่อยอาหาร
เอนไซม์ที่ผลิตจะถูกจับออกมาพร้อมกับด่างไบคาร์บอเนต ผ่านท่อของตับอ่อนมาเข้าร่วมกับท่อน้ำดีของถุงน้ำดี
เพื่อย่อยอาหารที่เคลื่อนลงมาจากกระเพาะ เอนไซม์จะต้องถูกใช้ตลอดเวลา
และเสื่อมคุณภาพหรือหมดอายุก็จะถูกขับออก
ดังนั้น
ร่างกายจึงต้องพยายามผลิตขึ้นใหม่ โดยอาจจะไม่เพียงพอ ต้องชดเชยโดยได้มาจาก “อาหารดิบ” (Raw Food) หรือบางทีก็มาจาก “เอนไซม์อาหารเสริม” (Enzyme Supplement) อาหารจากธรรมชาติล้วนแล้วแต่มีเอนไซม์อยู่ด้วย
ทั้งนี้ก็เพื่อจะช่วยในการย่อยสิ่งต่าง ๆ ที่เรารับประทานเข้าไป เช่น โปรตีน แป้ง
ไขมัน เส้นใยอาหาร น้ำตาล นม เป็นต้น
3. เอนไซม์ในการเผาผลาญพลังงาน
(Metabolic enzyme เมทาโบลิกเอนไซม์) คือ เอนไซม์ที่ผลิตในเลือด
ในเซลล์ เนื้อเยื่อ และอวัยวะภายในต่าง ๆ ของร่างกาย
มีหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีเพื่อช่วยในการเผาผลาญสารอาหารและสร้างพลังงาน
สร้างภูมิต้านทาน ความเจริญเติบโตให้กับร่างกาย
รวมไปถึงการช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของอวัยวะภายใน และช่วยบำบัดและรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่าง
ๆ ของร่างกาย
หมายเหตุ :
บางตำรารวมเอนไซม์จากอาหารและเอนไซม์อาหารไว้ด้วยกัน
เพราะเอนไซม์ทั้งสองมีทุกอย่างที่เหมือนกัน แต่แตกต่างกันที่แหล่งผลิตเท่านั้น
เอนไซม์ในอาหารจากธรรมชาติเราสามารถจำแนกออกได้เป็น
7 ประเภท
Ø อะไมเลส (Amylase) เอนไซม์ที่ช่วยสลายอาหารจำพวกแป้ง
(ใช้หน่วยวัดปริมาณ DU – Alpha Amylase Dextrinizing Unit)
Ø ไลเพส (Lipase) เอนไซม์ที่ช่วยสลายอาหารจำพวกไขมัน
(ใช้หน่วยวัดปริมาณ LU – Lipase Unit)
Ø โพรทีเอส (Protease) เอนไซม์ที่ช่วยสลายอาหารจำพวกโปรตีน
(ใช้หน่วยวัดปริมาณ HUT – Hemogolbin Unit Tryosine Base)
Ø เซลลูเลส (Cellulase) เอนไซม์ที่ช่วยสลายอาหารพวกเส้นใยพืชต่าง
ๆ (ใช้หน่วยวัดปริมาณ CU – Cellulase Unit)
Ø แลกเทส (Lactase) เอนไซม์ที่ช่วยสลายอาหารจำพวกนม
Ø ซูเครส (Sucrase) เอนไซม์ที่ช่วยสลายอาหารจำพวกน้ำตาล
Ø มอลเทส (Maltase) เอนไซม์ที่ช่วยสลายอาหารจำพวกเมล็ดข้าว
1.
เอนไซม์มีความสำคัญและจำเป็นสำหรับสิ่งมีชีวิต
เพราะว่าปฏิกิริยาเคมีส่วนใหญ่ในเซลล์จะเกิดขึ้นช้ามาก
ถ้าไม่มีเอนไซม์ก็อาจทำให้ผลิตภัณฑ์จากปฏิกิริยากลายเป็นสารเคมีชนิดอื่น
ซึ่งถ้าขาดเอนไซม์ก็จะทำให้ระบบการทำงานของเซลล์ผิดปกติได้ เช่น การผ่าเหล่า
การขาดหาย การผลิตน้อยเกินไป การผลิตมากเกินไป เป็นต้น
2.
เอนไซม์มีหน้าที่สำคัญในการสร้างมนุษย์ตั้งแต่ปฏิสนธิในครรภ์มารดา
จากไข่ที่ผสมพันธุ์เซลล์เดียวเติบโตมาจนเป็น 60 ล้านล้านเซลล์
และต่อมายังทำหน้าที่ในการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ
ทำหน้าที่ย่อยอาหารเพื่อให้ได้สารอาหาร ช่วยกำจัดของเสียในร่างกาย
ด้วยการเร่งปฏิกิริยาเคมีเพื่อทำลายสิ่งแปลกปลอม จึงช่วยทำให้เลือดสะอาด
3.เอนไซม์มีความจำเป็นสำหรับทุกปฏิกิริยาเคมีในร่างกาย
เซลล์ทั้ง 60 ล้านล้านเซลล์จะต้องใช้เอนไซม์เพื่อเร่งปฏิกิริยาเคมี
หากไม่มีเอนไซม์เราจะไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้
4. แม้ว่าวิตามิน
เกลือแร่ โปรตีน ฮอร์โมน และสารอาหารอื่น ๆ จะมีความสำคัญต่อชีวิตและสุขภาพ
แต่ก็โดยเอนไซม์เท่านั้นที่ทำให้สารต่าง ๆ ได้ทำงานตามคุณสมบัติของมันได้
เพราะถ้าไม่มีเอนไซม์ทุกอย่างก็จะทำปฏิกิริยาไม่ได้เลย จนมีผู้กล่าวว่า “เอนไซม์คือพลังงานชีวิต” ถ้าระดับเอนไซม์ในร่างกายลดต่ำลงจนถึงระดับหนึ่ง
จะทำให้ระบบภายในร่างกายทำงานไม่ได้ และชีวิตจะหยุดลงทันที
เอนไซม์จึงเป็นผู้สร้างเซลล์ สร้างร่างกาย สร้างอวัยวะ และสร้างชีวิต
5. ถ้าในร่างกายมีเอนไซม์อย่างสมบูรณ์และเพียงพอ
มนุษย์อาจมีอายุยืนได้ถึง 120 ปี
เพราะเซลล์ในร่างกายสามารถแบ่งตัวได้ตามกำหนดของโปรแกรมนาฬิกาชีวิต
6. ถ้าไม่มีเอนไซม์เป็นตัวเร่ง
ปฏิกิริยาเคมีก็ยังเกิดขึ้นได้ตามธรรมชาติ แต่จะไม่ทันต่อการดำรงชีวิต
เพราะผลของปฏิกิริยาจะเกิดขึ้นช้ามาก เช่น ถ้าร่ากายต้องการทำปฏิกิริยาเคมีกับน้ำตาลเพื่อให้เกิดพลังงานไปสร้างภูมิคุ้มกันต่อต้านเชื้อโรคที่เข้าจู่โจมร่างกาย
ถ้าทำปฏิกิริยาตามปกติโดยไม่มีเอนไซม์เป็นตัวช่วย ก็คงจะเกิดพลังงานได้เหมือนกัน
แต่กว่าจะเกิดปฏิกิริยาสมบูรณ์ ก็อาจต้องกินเวลานานกว่า 3 เดือน ร่างกายจึงจะได้รับพลังงานมาต่อต้านเชื้อโรค
ถ้าเป็นเช่นนี้ เชื้อโรคจะฆ่าเราก่อนที่พลังงานภูมิคุ้มกันนั้นจะเกิดขึ้นอีก
แต่ถ้าเรามีเอนไซม์สมบูรณ์ พลังงานและภูมิต้านทานจะเกิดขึ้นเร็วมากในเวลาเพียง 1
นาทีแรกที่เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย เป็นต้น
7. เอนไซม์แต่ละชนิดจะมีหน้าที่แตกต่างกันออกไป เอนไซม์บางชนิด จะส่งเสริมการทำงานของหัวใจ ฯลฯ
ซึ่ง หากร่างกายมีเอนไซม์อย่างสมบูรณ์
จะช่วยแก้ปัญหาการทำงานผิดปกติของระบบอวัยวะต่าง ๆ ภายในของร่างกายได้ เช่น
v ระบบทางเดินอาหาร (โรคกระเพาะ ลำไส้อักเสบ ท้องผูก อาหารไม่ย่อย
มะเร็งกระเพาะและลำไส้ โรคไตอักเสบ ไตวาย โรคตับ ต่อมลูกหมาก)
v ระบบหลอดเลือดและหัวใจ (โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง)
v ระบบทางเดินหายและระบบภูมิคุ้มกัน (ไซนัส ภูมิแพ้ หลอดลมอักเสบ
โรคปอด ไข้หวัดใหญ่ หัดต่าง ๆ)
v ระบบผิวหนัง (บำรุงผิวพรรณ แก้กลากเกลื้อน สิวฝ้า จุดด่างดำ
ผิวหนังอักเสบ แผลสด แผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก แผลในปาก สะเก็ดเงิน)
v ระบบกล้ามเนื้อและกระดูก (กล้ามเนื้ออักเสบ อัมพฤกษ์ อัมพาติ
โปลิโอ ปวดเมื่อยตามตัว กระดูกพรุน กระดูกอักเสบ ไขข้ออักเสบ รูมาตึซึม โรคเก๊าท์)
v ระบบต่อมไร้ท่อ (เบาหวาน ต่อมไทรอยด์อักเสบ)
v ระบบสร้างเม็ดเลือด (โรคลูคิเมีย โรคโลหิตจาง)
v ระบบสืบพันธุ์ (เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ ความผิดปกติของประจำเดือน)
8. เอนไซม์ถูกนำมาใช้ในอุตสาหกรรมต่าง
ๆ อย่างแพร่หลาย โดยถูกนำมาใช้ใน 2 ลักษณะ คือ
ใช้ในกระบวนการแปรรูปและใช้เป็นสารปรุงแต่งอาหาร เช่น
ü เอนไซม์ Amylase ถูกนำมาใช้กับเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
เพื่อแยกแป้งออกจากสารละลาย ช่วยลดความขุ่นและความหนืด
ü เอนไซม์ Cellulase ถูกนำมาใช้กับผงซักฟอก
เพื่อขยายเส้นใยเซลลูโลสของผ้า ทำให้เอนไซม์เข้าสู่เนื้อผ้าได้
จึงช่วยทำให้สิ่งสกปรกหลุดออกจากเนื้อผ้า
ü เอนไซม์ Lactase ถูกนำมาใช้กับผลิตภัณฑ์นม
เพื่อทำให้โปรตีนนมมีความเสถียร
ü เอนไซม์ Naringinase ถูกนำมาใช้กับผลไม้ตระกูลส้ม
เพื่อช่วยลดสารขมในน้ำผลไม้
ü เอนไซม์ Protease ถูกนำมาใช้กับเบียร์หรือไวน์
เพื่อช่วยแยกตะกอนโปรตีน ทำให้ผลิตภัณฑ์ใส
ü เอนไซม์ Lipase ถูกนำมาใช้กับเนยแข็ง
เพื่อย่อยสลายไขมันในระหว่างการบ่มและช่วยเพิ่มกลิ่นรสของผลิตภัณฑ์ เป็นต้น
นอกจากจะใช้เอนไซม์ในด้านอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มแล้ว
ยังมีการนำเอนไซม์มาใช้ประโยชน์ในด้านอื่น ๆ อีกด้วย เช่น
การนำมาประยุกต์ใช้ในทางการแพทย์
โดยการใช้เอนไซม์ตรึงรูป เพื่อทดแทนการสูญเสียเอนไซม์โดยการผ่านเข้าทางเส้นเลือด
หรือการใช้เอนไซม์ในการบำบัดโรคต่าง ๆ และใช้ในการตรวจวิเคราะห์ทางการแพทย์
เป็นต้น
ตัวยับยั้งเอนไซม์ถูกนำมาผลิตเป็นยาแผนปัจจุบันจำนวนมาก
ตั้งแต่ยาแก้ปวดแอสไพริน เพนิซิลลิน (Penicillins) แก้อักเสบ
ยาไวอากร้า ฯลฯ ซึ่งเป็นการใช้ตัวห้ามมาปิดกั้นการทำงานของเอนไซม์หรือห้ามไม่ให้เอนไซม์บางชนิดทำงาน
ทั้งนี้ก็เพื่อประโยชน์ในการรักษาอาการของโรคต่าง
ๆ ที่ทำให้รู้สึกปวด ทำให้เชื้อแบคทีเรียไม่แบ่งตัว
หรือทำให้กล้ามเนื้อหลอดเลือดของอวัยเพศชายคลายตัวไม่บีบไล่เลือดออกไป
ทำให้อวัยวะเพศบวมและแข็งอยู่ได้นาน
นักวิจัยพบว่าเอนไซม์ถ้ามีระดับต่ำกว่าปกติในเลือด
จะทำให้เกิดโรคต่าง ๆ เช่น
Ø ผู้ป่วยมะเร็งจะมีระดับเอนไซม์ในเลือดต่ำกว่าคนทั่วไป
Ø
ผู้ป่วยเบาหวานจะมีเอนไซม์ไลเปสและเอนไซม์ทริปซินในเลือดต่ำมาก
หรือใน
Ø ผู้ป่วยทีเป็นโรคผิวหนังบางชนิดจะมีระดับเอนไซม์อะไมเลสต่ำในเลือด
เป็นต้น
อย่างไรก็ดีสำหรับผู้ที่ต้องการมีอายุยืนยาวและมีสุขภาพแข็งแรง
นอกจากจะต้องรับประทานอาหารสดและอุดมไปด้วยเอนไซม์แล้ว ก็ต้องรักษาสุขภาพด้านอื่น
ๆ อีกด้วย เช่น หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ ไม่ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ ไม่เครียด ฯลฯ
เหล่านี้ก็จะทำให้มีชีวิตที่ยืนยาวตราบเท่าที่ร่างกายยังมีการทำงานของเอนไซม์ตามปกติ
เพราะถ้าเอนไซม์ในร่างกายถูกใช้หมดไปเร็วเท่าไหร่ ชีวิตก็จะสั้นลงเร็วขึ้นเท่านั้น

นักวิทยาศาสตร์บางคนเชื่อว่า
การลดจำนวนอาหารลงจะทำให้เราไม่สิ้นเปลืองการใช้เอนไซม์ที่จะมาใช้ในการย่อยอาหาร
ส่งผลทำให้ตายช้าลง เพราะเมทาโบลิกเอนไซม์จะเพิ่มขึ้น
เนื่องจากไม่ต้องไปช่วยย่อยอาหาร
เมื่อไม่ต้องใช้เอนไซม์ในการย่อยอาหารจึงทำให้การสร้างเมทาโบลิกเอนไซม์มีไว้ใช้ได้มากขึ้น
สามารถนำไปซ่อมแซมร่างกายให้แข็งแรงเพิ่มมากขึ้น
และนักชีวเคมียังมีความเชื่อด้วยว่าเอนไซม์ที่ถูกผลิตขึ้นในร่างกายของแต่ละคนจะมีอยู่อย่างจำกัด
เปรียบเสมือนเงินฝากในธนาคาร ถ้าใช้อย่างฟุ่มเฟือย เงินในธนาคารก็หมดเร็ว
เพราะคนทั่วไปเบิกเอนไซม์ของตอนมาใช้ และไม่ค่อยหากลับมาฝากคืนธนาคารอีก
ดังนั้นเราจึงต้องช่วยตัวเองที่จะประหยัดเอนไซม์เพื่อให้มีใช้ได้นานที่สุด
และหาเอนไซม์จากภายนอกมาใช้แทน ถ้าต้องการให้มีอายุยืนยาวและสุขภาพที่ดี











ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น